วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 16

 วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ.2561

KNOWLEDGE
นำเสนอคำคมทางบริหาร



นำเสนอโมเดลโรงเรียนที่แต่ละกลุ่มได้ประดิษฐืขึ้นมา






APPLIED
นอกจากคำคมโรงเรียนที่เพื่อนๆแต่ละกลุ่มสร้างขุ้นมามีความหน้าสนใจ ซึ่งเราสามารถศึกษาและนำไปใช้ในงานต่อไปได้

ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจฟัง และนำเสนองานอย่างเต็มที่

friend : เพื่อนตั้งใจเรียน ตั้งใจนำเสนองานและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้

Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง
บันทึกการเรียนครั้งที่ 15

 วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ.2561

KNOWLEDGE


เพื่อนๆนำเสนอคำคมที่เกี่ยวข้องทางการบริหาร







APPLIED
สามารถนำคำคมต่างๆที่เพื่อนนำเสนอไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

ASSESSMENTการประเมิน

self : มาเียนตรงเวลา ตั้งใจฟัง และนำเสนองาน

friend : เพื่อนตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้

Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกย์ใช้ได้จริง
บันทึกการเรียนครั้งที่ 14

 วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ.2561



หยุดเรียนวันสงกรานต์

บันทึกการเรียนครั้งที่ 13

 วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ.2561

KNOWLEDGE





กระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
¢ความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการด้านวิชาการในการปฏิรูปการเรียนรู้นั้น ทุกคน   ทุกฝ่ายนับเป็นองค์ประกอบสำคัญ การเป็นเพื่อนร่วมทางที่จะเดินไป
ด้วยกัน อย่างไว้ใจและเชื่อว่าจะชี้แนะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ให้ก้าวไปในทางที่ถูกต้องด้วยน้ำใจมิใช่อำนาจ คือ หนทางแห่งกัลยาณมิตร นักวิชาการ
นิเทศ ได้กล่าวเกี่ยวกับการนิเทศที่คำนึงถึงฐานวัฒนธรรมไทยว่า
          - ความเป็นกัลยาณมิตรเป็นกุญแจทองที่จะไขเปิดประตูแห่งความเป็นมิตร
          - ความอ่อนน้อมถ่อมตน ยังเป็นคุณสมบัติที่คนไทยทุกคนยอมรับ
          - ความจริงใจเป็นเครื่องหล่อลื่นสัมพันธภาพ
          - ความมีน้ำใจ เป็นหยดทิพย์ที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่นบาน
          - การใช้คำพูดที่สุภาพ จริงใจสม่ำเสมอเป็นเครื่องส่งเสริมความรู้สึกที่ดีต่อกัน

 กัลยาณมิตร ๗ ประการในการนิเทศ
1. ปิโย - น่ารัก สบายใจ สนิทสนม ชวนให้อยากปรึกษา
2. ครุ - น่าเคารพ ประพฤติสมควรแก่ฐานะ อบอุ่น เป็นที่พึ่งปลอดภัย
3. ภาวนีโย - น่ายกย่อง / ทรงคุณความรู้ /ภูมิปัญญาแท้จริง และหมั่นปรับปรุงตนอยู่เสมอ
4. อตตา จ - รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ รู้ว่าควรพูดอะไร อย่างไร เป็นที่ปรึกษาที่ดี
5. วจนก ขโม - อดทนต่อถ้อยคำ พร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษา / คำถามคำวิพากษ์วิจารณ์
6. คมภีรญจ กถ กตตา - แถลงเรื่องลึกล้ำได้ อธิบายเรื่องที่ยากให้ง่ายได้
7. โน จฏฐาเน นิโยชเน - ไม่แนะนำเรื่องเหลวไหล แนะไปในทางเสื่อม

องค์ประกอบของกัลยาณมิตร
1. ให้ใจ - การปฐมนิเทศสร้างความเข้าใจร่วมกัน
2. ร่วมใจ - การร่วมคิด ร่วมทำงาน แลกเปลี่ยนรู้ซึ่งกันและกัน
3. ตั้งใจ - เป็นการร่วมกันสร้างสรรค์คุณภาพในการทำงาน
+ มุ่งมั่นสู่เป้าหมายร่วมกัน
+ ช่วยกันแก้ปัญหา
+ ถือว่าผลงานคือคุณภาพของผู้เรียน
4. เปิดใจ - การวัดและประเมินตนเอง ประเมินผลงาน
+ ประเมินผลการพัฒนาการอย่างเที่ยงตรง
+ ปราศจากอคติ

กระบวนการกัลยาณมิตร
1. ไม่มุ่งเน้นปริมาณ - เน้นความชัดเจนของขั้นตอน วิธีการ
2. สานพลังอาสา - เริ่มที่ศรัทธา / อาสาสมัคร / ไม่ใช่การสั่งการ
3. เสวนาร่วมกัน - ใช้อปริหานิยธรรม ๗
+ หมั่นประชุมเป็นเนืองนิตย์
+ พร้อมเพรียงทำกิจที่พึงทำ
+ ปฏิบัติตามหลักการที่วางไว้/สิ่งใดดีอยู่รู้รักษา
+ ศรัทธา ยอมรับนับถือกันและกัน
+ ไม่บังคับ /ไม่ห้ำหั่น /ลุแก่อำนาจบังคับบัญชา
+ พัฒนาไปตามสภาพจริงของสถานศึกษาที่เป็นเรื่องชัดแจ้ง
+ คุ้มครองเสริมแรง ห้ำกลังใจ
4. สร้างสรรค์ความเป็นมิตร - ชักชวนให้ร่วมกันพัฒนา
5. ฝึกคิดมุ่งมั่น - มีความเพียร อดทน รู้จักใช้เหตุผล
6. ทุกวันปฏิบัติ - ทำอย่างต่อเนื่อง
7. จัดทำบันทึกแนวทาง - รู้จักสังเกตแล้วบันทึก

 ปัจจัยเกื้อหนุน ๔ ประการ
1. องค์ความรู้
2. แรงหนุนจากต้นสังกัด
3. ผู้บริหารทุกระดับ
4. บุคลากรทั้งสถานศึกษา

บทบาทของผู้บริหารในการนิเทศ
¢ กระบวนกัลยาณมิตร เป็นการปฏิบัติจริงในสภาพที่เป็นจริง ผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศต้องมีการปรึกษาหารือ ติดต่อสื่อสาร เยี่ยมเยียน แลกเปลี่ยน
เรียนรู้ ช่วยแก้ปัญหาและให้กำลังใจกัน
¢ ถ้าจะเปรียบผู้นิเทศก็เป็นเหมือนครูฝึก ( coach ) ของผู้สอน ที่จะต้องโดดลงไปร่วมคิดร่วมทำ มิใช่เพียงร้องบอกให้ผู้สอนลองผิด ลองถูก ตาม
ยถากรรม อาจต้องบอกวิธีให้รู้ สาธิตให้ดุ และช่วยแก้ไขข้อบกพร่องที่พบ
¢  การพบปะสนทนาเมื่อเวลานิเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ครู ศึกษานิเทศก์ กรรมการศึกษา ชุมชนรอบๆสถานศึกษา จะได้ทราบทุกข์ สุข และก่อให้
เกิดความเข้าใจในปัญหาพื้นฐาน เพื่อกำหนดจุดมุ่งหมายในการทำงานต่อไป

 “ คลินิกครู ” มีความจำเป็นสำหรับสถานศึกษา โดยจัดช่วงเวลาที่ครูสมารถมาพบในลักษณะกลุ่มสนใจ หรือตามประเด็นปัญหาที่มีผู้นิเทศสนทนา
ให้คำแนะนำ โดยเตรียมข้อมูลเพื่อพบปะสนทนากันใน “ คลินิก ” การเข้าใช้บริการ   “ คลินิกครู ” อาจมีลักษณะเป็นรายบุคคล เป็นคู่ หรือเป็นกลุ่มย่อย
ตามความสมัครใจ ครูที่เข้าพบเป็นผู้เปิดประเด็นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ในการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน มุ่งสนับสนุนในการพัฒนาบุคลากรใน
โรงเรียนโดยผู้บริหารต้องเป็นผู้นำในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยมีโครงการร่วมคิดร่วมทำ เพื่อปรับปรุงพัฒนา ซึ่งผู้บริหารอาจจัดระบบนิเทศ
เป็น 3 ลักษณะ คือ
          1. นิเทศการจัดบรรยากาศห้องเรียน
          2. นิเทศการจัดการเรียนการสอน
          3. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันของครู


หลักประการสำคัญของกัลยาณมิตรนิเทศ คือเข้าใจวัฒนธรรมการคิดและ การทำการคิดและการทำงานของครู ผู้นิเทศย่อมตระหนักดีว่าครูทำงานหนักและ จำเจ เดิมๆ ซ้ำๆ หากมีใครสักคนเข้ามาดูงานของเขา อาจทำให้เขาเครียด เกร็ง ระมัดระวัง และรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ธรรมดา เพราะเขาคิดว่าต้องมีภาระเพิ่มขึ้น  การทำงานหนักขึ้นและอาจเกิดการต่อต้าน ผู้นิเทศจึงจำเป็นต้องเริ่มงานด้วยความสัมพันธ์ที่ดี ให้ครูรู้สึกไว้วางใจ พร้อมกับนำกระบวนการนิเทศสอดแทรกกลมกลืนเข้าไปกับภาระงานปกติของครู การเยี่ยมเยียน การติดต่อสื่อสารกับครูควรหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจของการตรวจสอบ หรือพิพากษาว่าใครถูก ใครผิด แต่ควรเป็นการให้กำลังใจ ใช้วิธีการพูดทางบวก มีการแลกเปลี่ยนความคิด และปรึกษาหารือให้ครูรู้จักสบายใจ

แนวทางการนิเทศ
1. สร้างความสัมพันธ์ แจ้งภารกิจและความมุ่งหมาย จัดเวลา กำหนดวิธีการทำงาน
2. จัดนิทรรศการทางวิชาการและสาธิตรูปแบบการสอน
3. แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จัดบริการเอกสารทางวิชาการ
4. วางแผนร่วมกัน เพื่อศึกษาดูงาน
5. แนะให้ปฏิบัติตามสภาพจริง
6. พบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผลการปฏิบัติ และหาทางแก้ไขปรับปรุง
7. เข้าร่วมประชุม สัมมนา การฝึกอบรมตามโอกาส
8. นำเสนอผลงานในการประชุมปฏิบัติการ
9. วัดและประเมินผลงานกัลยาณมิตรนิทศ

สรุปประเด็นสำคัญ
หลักการสำคัญ พึงตระหนักว่าการนิเทศนั้นมิใช่การสั่งการ ตรวจสอบ บังคับบัญชา มิใช่การนิเทศ
กระดาษ แต่เป็นการนิเทศคน กระดาษ เป็นแผนการสอน คะแนนผลสัมฤทธิ์ หรือโครงการ เป็นองค์
ประกอบที่แสดงร่องรอยการเรียนรู้ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุด      ผู้นิเทศต้องนิเทศคน พูดคุยกับครู ดู
พฤติกรรมของนักเรียน สังเกตบรรยากาศและความสัมพันธ์ในสังคมเรียนรู้นั้นเพื่อเข้าถึงสถานภาพและ
ปัญหา นำไปสู่แนวทางการนิเทศที่ถูกต้อง

         
สรุปเป็นบทร้อยกรองว่า

                 ไม่ตั้งตนเป็นคนเหนือคนอื่น ควรหยิบยื่นสิ่งดีดีมีมอบให้
                 เสนอแนะให้ขวัญกำลังใจ แสดงว่าจริงใจไม่ทิ้งกัน
                 ฟังข้อมูลหนุนให้ทำนำให้คิด ชี้ถูกผิด แนะทางอย่างสร้างสรรค์
                 นำเทคนิคพลิกแพลงมาแบ่งปัน เป็นเพื่อนขวัญบนเส้นทางย่างก้าวเดิน



APPLIED
สามารถนำหลักกัลยาณมิตรไปปรับใช้ในชีวิตได้

ASSESSMENTการประเมิน

self : ตั้งใจฟัง และนำเสนองาน

friend : เพื่อนตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ในด้านความรู้

Teacher : คำแนะนำของอาจารย์ สามารถนำไปประยุกย์ใช้ได้จริง


KNOWLEDGE

ศึกษาดูงาน ณ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา
วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มีนาคม พ.ศ 2561

ที่อยู่ 673 ซอย อิสรภาพ 51 ถนน จรัญสนิทวงศ์ แขวง บ้านช่างหล่อ เขต บางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร 10700    โทรศัพท์: 02 866 1291

ข้อมูลเพิ่มเติม -> ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา

ประวัติศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา
        สำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานคร ได้จัดการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำชุมชนวัดอมรทายิการามขึ้น หลังจากนั้นกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขได้สำรวจปัญหาในชุมชนพบว่ามีปัญหา 2 ประการ คือ ปัญหายาเสพติด และปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเด็ก กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขจึงตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาสุขภาพเด็กโดยจัดตั้ง “ศูนย์รับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา” โดยขอความอนุเคราะห์เรื่องสถานที่จากท่านพระครูวิบูลธรรมภาณ เจ้าอาวาสวัดอมรทายิการาม  เริ่มแรกท่านให้ใช้กุฏิเก่าของท่านมีจำนวนเด็ก 40-50 คน มีอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก 4 คน ต่อมากุฏิเก่าเริ่มชำรุดทรุดโทรมไม่สามารถซ่อมแซมได้ ท่านเจ้าอาวาสจึงอนุญาตให้สร้างอาคารหลังใหม่ เป็นอาคารชั้นเดียวโดยมีคณะสงฆ์ ครูและผู้ปกครองร่วมกันก่อสร้าง ได้รับการสนับสนุนทุนสร้างจากสำนักงานเขตบางกอกน้อย
        ผู้ปกครองนักเรียน คณะครู และได้เปลี่ยนชื่อเป็น“ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา” เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2527 ในปี พ.ศ.2530 ได้เปิดอย่างเป็นทางการ สภาสตรีแห่งชาติและสภาสังคมสงเคราะห์ได้ส่งอาสาสมัครเข้ารับการอบรมเสริมทักษะด้านการเลี้ยงดูเด็ก และอาหารเสริม ต่อมาได้เข้าสังกัด กองสังคมสงเคราะห์ กรุงเทพมหานคร ได้รับค่าตอบแทนวันละ 40 บาท อาสาสมัครจำนวน 4 คน ในปี พ.ศ.2536 กองพัฒนาชุมชนได้รับช่วงต่อมา ให้การสนับสนุนโดยขึ้นค่าตอบแทน 80 บาทต่อวัน  ทำงานและส่งเสริมพัฒนาอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กแรกเริ่มอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กมีวุฒิการศึกษา ปวช, ม.6, ม.3 เข้ามาทำงานด้วยใจรักเด็ก ไม่หวังค่าตอบแทน ต่อมาได้ศึกษาต่อด้วยทุนตนเองจนจบอนุปริญญา และปริญญาตรี เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและนำความรู้ใหม่ ๆ มาสอนเด็ก ส่วนพวกไม่มีทุนเรียนจะได้รับการอบรมในองค์กรต่างๆ  จากนั้นสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร ได้สนับสนุนค่าตอบแทน เพิ่มเป็น 5,640 บาทและทำประกันสังคมให้
        ปัจจุบันมีนักเรียนอายุ 2 – 6 ปี จำนวน 400-500 คน มีอาสาสมัครดูแลเด็กจำนวน 35 คน ได้สร้างอาคารเรียนเพิ่มเป็นอาคารเรียนเป็น 3 ชั้น และใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546 จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้มีพัฒนาการครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน ด้านสภาพแวดล้อมให้เจริญตามลำดับมีอาสาสมัครชาวต่างชาติจาก หน่วยงานCross-Cultural Solutions (CCS) องค์กรอาสาสมัครนานาชาติ จดทะเบียนที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดส่งอาสาสมัครชาวต่างชาติมาช่วยสอนภาษาอังกฤษ ทำให้ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษาเป็นที่รู้จักและทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ปกครอง

การจัดการเรียนการสอน
        ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา มีความมุ่งมั่นปลูกฝังความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมอันดีงาม พัฒนาความพร้อมในด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญาของเด็กให้เหมาะสมตามวัย ฝึกให้เด็กสามารถคิด วิเคราะห์แก้ปัญหา และกล้ายอมรับผิดได้อย่างเหมาะสมตามวัย โดยผ่านบทบาทสมมุติ อีกทั้งอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเองมีครูเป็นผู้คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ โดยแบ่งนักเรียนเป็นระดับชั้น ดังนี้
ระดับเตรียมพร้อม
        นักเรียนสามารถช่วยเหลือตนเองเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน สามารถสื่อความหมายสั้นๆ ง่ายๆ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
ระดับอนุบาล 1
        พัฒนาความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาตามวัย พัฒนาความพร้อมของกล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่ประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา สร้างระเบียบวินัยการอยู่ร่วมกันในสังคม การช่วยเหลือตนเอง
ระดับอนุบาล 2
        เสริมสร้างระเบียบวินัยการอยู่ร่วมกันในสังคม กิริยามารยาทที่ดีงาม การช่วยเหลือตนเอง และเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ
ระดับอนุบาล 3
        ปลูกฝังความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมอันดีงาม ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิชาการเพื่อพร้อมเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

โครงสร้างการบริหาร




บันทึกการเรียนครั้งที่ 10

 วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2561

KNOWLEDGE




เนื้อหาที่เรียน เรื่อง เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร
ความหมายของบุคลิกภาพ
        ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ
        บุคลิกภาพภายนอก หมายถึง สิ่งที่สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันทีบุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
        บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส

ประเภทของบุคลิกภาพ              
        บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น 4 หมวดคือ
        1.  รูปร่างหน้าตา
        2.  การแต่งกาย
        3.  กิริยาท่าทาง
        4.  การพูด
บุคลิกภาพภายใน คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แก้ไขได้ยาก เช่น
        1. ความเชื่อมั่นในตนเอง                2. ความกระตือรือร้น
        3. ความรอบรู้                            4. ความคิดริเริ่ม
        5. ความจริงใจ                           6. ไหวพริบปฏิภาณ
        7. ความรับผิดชอบ                      8. ความจำ
        9. อารมณ์ขัน

การจำแนกบุคลิกภาพ 4 แบบ (Harris 1973)


การยอมรับตนเอง หน้าต่างของ (Johari’s windor ,1955)

ในแต่ละครั้งที่เราต้องพบเจอผู้คนในองค์กรหรือนอกองค์กร การสนทนา การแสดงความคิดเห็น หรือการพูดให้ความรู้ การนำเสนองานต่างๆ นั้น ควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เนื้อหาสาระของคำพูด 7% น้ำเสียง 38% กิริยาท่าทาง (บุคลิกภาพ) 55%

สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพคือ ความท้อถอย
        บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ 
ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ คือ
        1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์
        2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
        3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
สาเหตุของความท้อถอย 
·     ด้านบุคลิกภาพ 
·     ด้านอายุ
·     ด้านสถานภาพการสมรส
·     ด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ
แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย  
        1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น 
        2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม 
        3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า “งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน”
        4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่ 
ครูกับการพัฒนาตน
        1. การพัฒนาตนเป็นการที่บุคคลพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ตนเองก้าวไปสู่การเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์ ในขอบเขตที่มีความพอเหมาะพอดีกับความสามารถของผู้นั้น
        2. ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
            2.1 การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ เพื่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
            2.2 การพัฒนาตนด้านการเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

การพัฒนาตนเองควรประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
        1. พยายามค้นพบตนเอง ทำความรู้จักตนเอง โดยหมั่นตรวจตราพิจารณาตนเองถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ควรสนใจรับฟังข้อคิดเห็น หรือคำวิจารณ์ของบุคคลอื่นที่มีต่อตัวเราบ้าง ต่อจากนั้นให้หันกลับมาพิจารณาตนเองในแง่มุมเหล่านี้
            1.1 ตัวของเราที่เป็นจริงเป็นอย่างไร
            1.2 ตัวของเราที่รับรู้เป็นอย่างไร
            1.3 ตัวของเราที่เราอยากจะเป็น เป็นอย่างไร
        2.  เมื่อได้พิจารณาตนเองแล้ว รู้จักตนเองแล้ว เรายอมรับได้ไหมว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา การยอมรับตนเองนั้น ควรจะยอมรับทั้งในส่วนที่เป็นจุดอ่อน และจุดเด่นไปด้วยกัน มิใช้จะยอมรับแต่จุดเด่น แล้วไม่สนใจจุดอ่อนโดยไม่ยอมรับจุดอ่อน
        3.  ท้ายที่สุด คือ การหาทางพัฒนาจุดอ่อนหรือส่วนที่เราไม่พอใจที่อยู่ในตัวเรา (bed me) ให้ดีขึ้น (good me)

หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
·     การยืน เดิน นั่งเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลอิริยาบถคือการเดิน ยืน นั่ง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงาม
·     การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่างๆการไปเยี่ยมคนป่วยการมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น
·     บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองได้เป็นอย่างดี

แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
·     การรักษาสุขภาพอนามัย
·     การดูแลร่างกาย
·     การแต่งกาย
·     อารมณ์
·     ความเชื่อมั่นในตัวเอง

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
        ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดี ไม่มองคนในแง่ร้ายจิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้นจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้
        1.  มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
        2.  มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญเขาก็จะให้เราทำ
        3.  มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
        4.  มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
        5.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
        6.  มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา
        7.  มีความรอบรู้                    
        8.  ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
        9.  มีความจำแม่น                 
        10. วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายบริหารทรวดทรง
        องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้างของร่างกายไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท ผู้หญิงก็ต้องการมีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนาตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิตของเราเอง
        ทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทำให้คนทุกคนดูแตกต่างกันไป บุคลิกที่ไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่างขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเองแล้ว จะไม่เพียงทำให้มีรูปร่างสง่างามเท่านั้น ยังสามารถทำให้การปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่น  งานก็มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการบริหารทรวดทรงของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดี และทรวดทรงที่งดงามอีกด้วย

การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
·     การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
·     การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ 
·     การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ 
        การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
        ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ เช่น
        1. การฟัง
        2. การอ่าน
        3. การเขียน
        4. การสังเกต
        5. การคิด
        6. การทดลอง

Vocabulary (คำศัพท์)
Change - เปลี่ยนแปลง
Personality - บุคลิกภาพ
Always - สม่ำเสมอ
Acceptance - ยอมรับ
Development - พัฒนา


Applied (การประยุกต์ใช้)
 ได้เรียนรู้ถึงบุคลิกภาพแต่ละอย่างซึ่งทำให้เรากลับมามองตัวเองแล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดี      

Evaluation (การประเมิน)
Self (ประเมินตนเอง)
        ตั้งใจเรียนและมีปฎิสัมพันธ์ทางด้านความรู้กับเพื่อนและอาจารย์
Friends (ประเมินเพื่อน)
        เพื่อนตั้งใจเรียนและนำเสนองานได้ดี
Teacher (อาจารย์)
        อาจารย์ให้คำแนะนำและให้ความรู้อย่างดี



บันทึกการเรียนครั้งที่ 16  วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ.2561 KNOWLEDGE นำเสนอคำคมทางบริหาร นำเสนอโมเดลโรงเรียนที่แต่ละกล...